อุตสาหกรรมบริการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่จะช่วยขับเคลื่อนไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ (International Logistics Performance Index : LPI) จากธนาคารโลก ให้อยู่อันดับที่ 34 จาก 139 ประเทศทั่วโลก ตกลงจากอันดับ 32 ในปี 2561 และอยู่ในอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในปี 2566 ภาคโลจิสติกส์ของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ในหลายประเทศ และความนิยมในธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตต่อเนื่อง เทรนด์การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ยุคใหม่จะไม่ใช่เพียงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่จะมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาต่อยอดสู่การเป็น “สมาร์ทโลจิสติกส์” มากยิ่งขึ้น และยังมุ่งพัฒนาไปสู่การเป็น “โลจิสติกส์สีเขียว” เพื่อตอบโจทย์การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาครัฐให้ความสำคัญกับธุรกิจโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน ทำให้มีการกำหนดนโยบายส่งเสริมหลากหลายแนวทาง
สอดรับกับการพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ข้อที่ 3 ในเรื่องการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับไทย ซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยต่าง ๆ ที่จะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์และระบบคมนาคมให้มีการเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ ทั้งในระดับภูมิภาค อนุภูมิภาค และชายแดน
โดย smart logistic เป็นเรื่องของการพัฒนาแพลตฟอร์ม เช่น คลังสินค้าใช้ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะเพื่อเสริมประสิทธิภาพการให้บริการ รวมถึงจัดทำแพลตฟอร์มสำหรับการขอใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ใน 37 หน่วยงาน ซึ่งในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเตรียมตัวรับมือ
ต่อมาก็คือเรื่อง green logistic เพราะธุรกิจโลจิสติกส์เองก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ที่ทุกภาคส่วนในธุรกิจนี้ต้องยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุก ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนจากพลังงานที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาสู่พลังงานที่เป็นมิตรมากขึ้น อาทิ การเปลี่ยนจากรถบรรทุกสันดาปมาเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มที่ทั้งโลกจะหันมาใช้พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น สุดท้ายเราต้องตระหนักถึงแนวทางของโลกที่จะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องของ smart and green
อีกเรื่องที่สำคัญคือ เรื่องของเทคโนโลยีที่จะช่วยแจ้งให้กับผู้ใช้บริการว่ารับรู้และแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกทางการค้า (trade facilitation platform) ที่เชื่อมโยงแอปพลิเคชั่นหรือแพลตฟอร์มของแต่ละบริษัทเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งถ้าเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ก็จะสร้างความสบายใจให้แก่ผู้ใช้บริการ เพราะแพลตฟอร์มจะเป็นตัวเชื่อมทุกภาคส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ท้ายที่สุด ต้นทุนของโลจิสติกส์ไทยคิดเป็น 14% ของ GDP ในภาพรวม ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วต้อง 10 หรือต่ำกว่า จึงต้องลดต้นทุน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ขอบคุณแหล่งข่าวต้นฉบับ : https://www.prachachat.net/economy/news-1364750